career


เปิดวาร์ป! อาชีพมาแรงแห่งปี 2020


จากผลการสำรวจของ LinkedIn ในรายงาน Emerging Jobs Report เพื่อวิจัยเทรนด์อาชีพที่กำลังเติบโตและได้รับความนิยมในตลาดงานทั่วโลกประจำปี 2020 พบว่าสายงานที่ติดอันดับ Top 5 งานมาแรงล้วนอยู่ในแวดวงดิจิทัลและเทคโนโลยีทั้งสิ้น

เพราะปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าองค์กรต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะปรับรูปแบบการทำงานให้มีความคล่องตัว รวดเร็ว ลดการใช้ต้นทุนด้านทรัพยากรและแรงงานที่ไม่จำเป็นลง ดังนั้นการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อน หรือการทำงานซ้ำซากลงจึงกลายเป็นโอกาสที่จะทำให้องค์กรนั้นก้าวไปสู่การเป็นองค์กรชั้นนำระดับแนวหน้าได้

ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจหากเราจะเห็นคนที่อยู่ในสายงานดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นที่ต้องการตัวขององค์กรหลายแห่ง ซึ่งต่างอยากได้ตัวมาทำงานเพื่อสรรสร้างเทคโนโลยีแห่งอนาคตไปด้วยกัน ว่าแต่ Top 5 อาชีพมาแรงแห่งยุคที่ว่านี้มีอะไรบ้าง เรามาดูกันเลย...

 

1. ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI (Artificial Intelligence Specialists)

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวเราขึ้นทุกวัน จนกล่าวได้ว่ายุคของหุ่นยนต์ที่เราเคยเห็นในหนัง sci-fi คงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเกินจริงอีกต่อไป และ AI ได้กลายเป็นเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 21 ไปแล้ว เห็นได้จากการที่หลายคนใช้ Siri หรือ Google Assistant ในมือถือส่วนตัวเพื่อช่วยจัดการเรื่องต่าง ๆ บางคนใช้ Robo Advisor เพื่อขอคำแนะนำและฝากให้ดูแลกองทุนที่น่าสนใจให้ ซึ่งเบื้องหลังความเก่งกาจของ AI เหล่านี้ก็มาจากฝีมือของผู้เชี่ยวชาญด้าน AI (AI Specialist), วิศวกร Machine Learning (Machine Learning Engineer) และ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) ซึ่งคนเหล่านี้มีหน้าที่พัฒนาอัลกอริทึ่มระบบ AI เก็บข้อมูล Big Data เพื่อนำมาวิเคราะห์และจัดการ รวมถึงหาและดึง Insight ที่น่าสนใจจาก Data Pool ที่มีเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทได้

อีกหนึ่งสาเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน AI มีความสำคัญและเป็นที่ต้องการมากในตลาดงานเป็นเพราะเทคโนโลยี AI ในปัจจุบันนั้นยังอยู่ในระยะเริ่มต้นไม่มีความแม่นยำเพียงพอ และยังมีข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างที่ต้องได้รับการพัฒนาต่อไป จึงจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาเทรน AI ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและนำมาใช้ได้จริงมากขึ้นนั่นเอง

 

 2. นักพัฒนาบล็อกเชน (Blockchain Developers)

บล็อกเชน นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่จะมาปฏิวัติการทำธุรกรรมอย่างแท้จริง เพราะเป็นเครือข่ายเก็บข้อมูลที่ทุกคนในระบบสามารถเข้าถึงได้ เมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้น ทุกคนในเครือข่ายจะเห็นและรับรู้หมด เพราะถือครองข้อมูลชุดเดียวกัน จึงนำมาซึ่งความปลอดภัย โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ช่วยตัดโอกาสที่คนกลางจะแอบเข้ามาปลอมแปลงข้อมูลแบบลับ ๆ ไปได้เลย

แม้ว่าบล็อกเชนจะเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมามากกว่า 10 ปีแล้ว โดยส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นตัวกลางของระบบเทรดเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) อย่าง Bitcoin หรือ Ethereum แต่ในอนาคต มีการคาดการณ์ว่าบล็อกเชนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจภาคส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะด้านโลจิสติกส์ (Logistics) และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนักพัฒนาบล็อกเชนจึงเป็นอาชีพที่กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน

 

3. นักพัฒนาโปรแกรมภาษา JavaScript (JavaScript Developers)

แน่นอนว่าถ้าพูดถึงอาชีพมาแรง คงมองข้ามนักพัฒนาและเขียนโปรแกรม อย่างโปรแกรมเมอร์ Java Script ไปไม่ได้ เพราะภาษาจาวาสคริปต์เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งยุคใหม่กำลังที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เหมาะสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ และนำไปประยุกต์ใช้เข้ากับแพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่างแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือหรือระบบ Iot (Internet of Things) ได้ไม่ยาก เรียกได้ว่าเป็นภาษาโค้ดดิ่งที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ง่าย แถมยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ Open source ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้ที่รู้และเชี่ยวชาญภาษาจาวาสคริปต์จึงเป็นเหมือนมนุษย์ทองคำที่องค์กรต่าง ๆ มองหาและอยากได้มาร่วมงาน

 

4. นักพัฒนาระบบหลังบ้าน (Back-End Developers)

แน่นอนว่าเมื่อมีผู้เขียนโปรแกรมหน้าบ้านอย่าง JavaScript Developer ก็ต้องมีนักพัฒนาระบบหลังบ้านหรือ Back-End ที่เปรียบเสมือนผู้ปิดทองหลังพระ คอยสนับสนุนงานหน้าบ้านจากเบื้องหลัง โปรแกรมเมอร์ที่พัฒนาระบบหลังบ้านจะทำหน้าที่ออกแบบฐานข้อมูลที่ฝั่งหน้าบ้านต้องการเรียกใช้ ปรับปรุงการรับส่งข้อมูลให้มีความรวดเร็ว รวมถึงเชื่อมต่อระบบผ่าน API (Application Programming Interface) ให้เรียกใช้งานข้อมูลที่ต้องการได้ Back-End Developer จึงเทียบได้กับวิศวกรผู้วางโครงสร้างระบบทั้งหมดของเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มของแอพพลิเคชั่นนั่นเอง ในโลกยุคดิจิทัลที่เว็บและแอพกำลังเติบโตขึ้น ๆ อาชีพอย่างผู้พัฒนาระบบหลังบ้านจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย

 

5. ที่ปรึกษาด้าน RPA (Robotic Process Automation Consultants)

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าทุกวันนี้ เริ่มมีการนำ “หุ่นยนต์” หรือ “บอท” มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำงานทดแทนแรงงานมนุษย์อย่างกว้างขวางในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแชทบอทที่คอยตอบคำถามอัตโนมัติแบบ 24 ชั่วโมง หรือหุ่นยนต์ที่ใช้ขนส่งสิ่งของในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งหุ่นยนต์หรือบอทที่ว่านี้เป็นผลผลิตที่เกิดจาก Robotic Process Automation (RPA) หรือกระบวนการทำงานอัตโนมัตินั่นเอง โดยข้อดีของ RPA คือช่วยลดความผิดพลาดในการทำงานที่เกิดจากมนุษย์ (Human Error) และยังช่วยลดระยะเวลาการทำงานลง ทำให้ได้ปริมาณงานที่มากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน RPA จึงมีความสำคัญต่อองค์กร และมีแนวโน้มว่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างสูงไปอีกหลายปี