career


ปิดเมือง เปิดใจอย่างไรให้รอด ช่วง COVID-19


ท่ามกลางช่วงเวลาที่ยากลำบากต่อการดำรงชีวิตที่เรากำลังเผชิญอยู่ระหว่างการปิดเมือง (Lockdown) นี้ หลายคนคงรู้สึกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ ยากจะรับมือ มองไม่เห็นทางออก และจุดสิ้นสุดของเหตุการณ์นี้

แม้สิ่งที่เป็นอยู่จะดูสิ้นหวัง จนทำให้อึดอัดกับสภาพที่เป็นอยู่ แต่อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายคนที่กำลังต่อสู้กับภาวะการณ์ของโรคนี้อยู่อย่างเต็มที่ ทั้งคุณหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานไม่ได้หยุดหย่อนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อหยุดยั้งโรคนี้ไม่ให้แพร่กระจายออกไปให้ได้มากที่สุด

ถึงแม้สถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน แต่คุณคงเคยได้ยินว่า “ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ” ขอเพียงคุณเปิดใจให้พร้อมไว้เสมอ แม้ในช่วงของการปิดเมือง ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องปิดตัวเองให้จมอยู่กับความเศร้า เหงา หดหู่นี้ไปด้วย ในทางตรงกันข้าม นี่คือโอกาสทองที่คุณจะได้ "เปิด" ตัวเองให้กับอีกหลาย ๆ เรื่องในชีวิต มาดูกันค่ะว่า เราจะเปิดใจอย่างไรให้รอด ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 นี้

 

1. เปิดรับการเรียนรู้สิ่งใหม่

 การเริ่มต้นนั้นยากเสมอ โดยเฉพาะการเริ่มต้นทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน การเรียนรู้สิ่งใหม่ก็เช่นกัน แน่นอนว่าหลายคนอยากเป็นคนเก่ง อยากทำในสิ่งที่ฝันไว้ให้สำเร็จ ซึ่งก็ต้องเริ่มต้นจากตัวเราเอง ที่จะต้องอดทน พยายาม เริ่มจากศูนย์แล้วไต่ขึ้นไปทีละสเต็ป แม้ไม่เคยทำ ไม่เคยรู้จักมาก่อน ถ้าเชื่อว่าเราทำได้ มีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็จะทำให้เรามีกำลังใจที่จะเดินไปให้ถึงจุดหมายนั้น บางทีนี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราค้นพบตัวเองในแบบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน จากการเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้

 

2. เปิดใจให้คนใกล้ตัวมากขึ้น

 แน่นอนว่าการปิดเมือง ส่งผลให้หลายคนต้องหันมาทำงานที่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทาง ทำให้มีเวลาอยู่กับคนใกล้ตัวอย่างคนในครอบครัวมากขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่ทำให้เราได้มีโอกาสดูแลคุณพ่อคุณแม่ หรือลูก ๆ มากขึ้น ช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะมีเวลาพูดคุยทำความเข้าใจกันมากขึ้นกว่าที่เคย สำหรับเพื่อนร่วมงานที่เราอาจไม่ได้เจอกันแบบตัวเป็น ๆ เหมือนเมื่อก่อนอาจทำให้รู้สึกเหงาและคิดถึงกันบ้าง แต่เราก็ยังติดต่อกันได้ตลอดผ่านแอปพลิเคชั่นเพื่อการประชุมสื่อสารอย่าง Microsoft Teams, Google Hangouts และ Zoom เป็นต้น เรียกได้ว่าแม้แต่ละคนตัวจะอยู่บ้านแต่ก็ยังอยู่ใกล้กันเสมอนะ Stay home, but still stay connected!

 

3. เปิดโอกาสลงมือทำในสิ่งที่อยากทำ

 คุณเป็นคนหนึ่งรึเปล่าที่มีเรื่องที่อยากทำมากมาย เช่น จัดบ้าน เก็บห้องให้เรียบร้อย คัดแยกเสื้อผ้าไปบริจาค ลองทำอาหารเมนูใหม่ ฯลฯ แต่ก็ไม่มีเวลาทำซะที ผัดผ่อนเรื่องที่อยากทำออกไปเรื่อย ๆ ด้วยข้ออ้างเดิม ๆ ว่า “เอาไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยทำ” แล้ววันพรุ่งนี้ที่พูดถึงนั้นก็ไม่เคยมาถึงซะที เพราะเรามักให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นก่อนเสมอ แล้วเมื่อไหร่จะได้ทำในเรื่องที่ตั้งใจไว้เสียทีล่ะ ในช่วงเวลาที่เราต้องกักตัวอยู่กับบ้านแทบจะ 24 ชั่วโมงแบบนี้คงทำให้เราหมดข้ออ้าง และเริ่มทำเรื่องที่อยากทำมานานได้แล้วจะได้หมดภาระสัญญาใจกับตัวเองเสียที

 

4. เปิดหูฟังข่าวสารรอบตัว

 แม้การเปิดทีวีรับฟังข่าวสารในทุกวันนี้จะทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่กว่าเดิม ด้วยจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่มากขึ้นทุกวัน พลอยทำให้จิตตกหดหู่ตามไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นการเปิดหูคอยฟังติดตามข่าวสารอยู่เสมอก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องสำคัญที่เราต้องรู้ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของตัวเราเองและ สังคมส่วนรวม เช่น การหลีกเลี่ยงเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อ หรือแนวทางป้องกันตัวเองไม่ให้สัมผัสเชื้อ เป็นต้น เราเองจะได้ให้คำแนะนำที่ถูกต้องกับคนอื่น ๆ ได้ด้วย


5. เปิดไฟแห่งความหวังไว้เสมอ

 ไฟในใจดับมอดลงเมื่อใด ก็ไม่อาจมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้ หลายคนอาจเคยได้ยินสำนวนฝรั่งที่ว่า “Every cloud has a silver lining” ที่เปรียบความหวังเหมือนแสงสีเงินตรงเส้นขอบฟ้า คุณแค่ต้องอดทนและรอคอยให้เมฆครึ้มที่บดบังแสงนั้นจางหายไปในสักวัน จะว่าไปก็เหมือนสำนวนไทยที่ว่า “ฟ้าหลังฝนนั้นงดงามเสมอ”

ภายใต้ความอึดอัดทั้งกายและใจที่เราต้องเผชิญอยู่จากการขาดอิสรภาพในการใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อน อยากไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง หรือพบปะเพื่อนสนิทมิตรสหายก็ทำไม่ได้ ทำให้หลายคนคิดถึงชีวิตธรรมดาที่แสนเรียบง่าย ที่เมื่อก่อนมองว่าเป็นเรื่องปกติไม่ได้พิเศษอะไร จนเมื่อมันหายไปจริง ๆ ถึงทำให้รู้ตัวว่าที่แท้แล้วชีวิตที่เราต้องการ อาจเป็นชีวิตธรรมดาที่เราเคยเป็นอยู่นั่นแหละ ที่ถึงตอนนี้ทำให้รู้ซึ้งแล้วว่า ชีวิตธรรมดาคือชีวิตที่มีค่าที่สุด ดังนั้นเราต้องไม่หมดหวังที่จะรอคอยให้ได้กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกครั้ง

เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนฝ่าฟันช่วงเวลานี้ไปด้วยกันนะคะ