career


อนาคตโลกหลัง COVID-19


หลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ครั้งนี้จบลง เชื่อว่าหลายอย่างคงไม่เหมือนเดิม... เพราะบทเรียนจากสถานการณ์ที่ประสบพบเจอด้วยตัวเอง ทำให้หลายคนมีประสบการณ์ร่วมแบบเดียวกัน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมที่เห็นได้ชัด

และจะกลายเป็น New Normal หรือความปกติใหม่ในสังคม ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ

 

1. Work From Home ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป

 แม้หลายบริษัทจะมีแนวคิดเรื่องการให้พนักงานทำงานจากบ้านมาสักระยะแล้ว แต่กลับยังลังเลที่จะให้นำไปใช้ปฏิบัติจริง เพราะกลัวเรื่องประสิทธิภาพการทำงานที่อาจลดลง และการสื่อสารที่อาจไม่ต่อเนื่อง แต่เมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 แนวคิดการให้พนักงานทำงานจากที่บ้านจึงถูกนำมาใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็ได้เห็นแล้วว่าเอาเข้าจริง การ Work from home ก็เป็นสิ่งที่เวิร์คอยู่นะ!

 

2. Cashless Society ในไทยเริ่มเป็นจริงมากขึ้น

 เพราะมีการยืนยันว่าเชื้อโรคสามารถติดอยู่บนผิวสัมผัสธนบัตรได้นานถึง 5 วัน หลายคนจึงเริ่มเป็นกังวลเรื่องการหยิบจับเงินสดมาใช้ในการจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ธนบัตรที่เราถืออยู่นั้นมีเชื้อไวรัสติดอยู่หรือเปล่า ถ้าจะให้ชัวร์สิ่งที่ทำได้คือการไม่จับเงินสด แต่เปลี่ยนมาใช้ E-Wallet หรือกระเป๋าตังค์อิเล็กทรอนิกส์แทน ซึ่งปลอดภัยกว่าสำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย แถมยังสะดวกกว่าตรงที่ไม่ต้องทอนเงินให้เสียเวลา เชื่อว่าหลังจากนี้ในไทยคงจะเริ่มมีคนที่คุ้นชินกับการใช้จ่ายผ่าน E-Wallet มากขึ้นแน่ ๆ

 

3. Health & Hygiene เป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้

 ใครที่เคยมองว่าสุขภาพเป็นเรื่องไกลตัว ปล่อยปะละเลยไม่รักษาความสะอาดเท่าที่ควรอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่หลังจากเจอเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าไป เพราะจากสภาวะการแพร่ระบาดไปทั่วโลกแบบนี้ ทำให้หลายคนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพและสุขอนามัยสูงขึ้น จะเห็นได้ว่าคนที่ป้องกันตัวเองได้ดี ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อลงได้ เช่นเดียวกับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ก็จะมีภูมิต้านทานต่อโรค และมีโอกาสเสียชีวิตน้อยกว่าคนที่มีโรคประจำตัว


4. Online Shopping สะดวกจนเป็นนิสัย

 ธุรกิจขายของออนไลน์ E-Commerce และบริการขนส่งถึงบ้านหรือ Delivery ได้รับอานิสงส์จากการปิดเมือง ทำให้คนต้องอยู่แต่บ้านไปเต็ม ๆ เพราะการที่ต้องออกไปซื้อของนอกบ้านแต่ละครั้งก็เท่ากับออกไปเสี่ยงรับเชื้อด้วย หลายคนจึงเลือกสั่งซื้อออนไลน์แล้วรอรับอยู่ที่บ้านดีกว่า โดยเชื่อว่าในช่วงล็อคดาวน์ ทำให้ผู้คนที่ไม่เคยซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มาก่อนได้เข้าสู่พื้นที่ออนไลน์ช้อปปิ้งเต็มตัว ซึ่งหลังจากทดลองใช้แล้วรู้สึกติดใจกับความสะดวกสบายแบบนี้ และอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หน้าร้านของธุรกิจกลายเป็นแค่ Showroom ไว้ดูของจริง แต่คนจะกลับมาตัดสินใจซื้อในออนไลน์ทีหลัง

 

5. Digital Lifestyle กำลังแทรกตัวในทุกมิติ

 ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์โควิด-19 หลายภาคส่วนต่างพูดถึงการปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่กลับยังไม่ได้เห็นการนำมาประยุกต์ใช้อย่างจริงจังมากนัก จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคนี้ขึ้น จึงเหมือนเป็นภาคบังคับที่ทุกคนทุกภาคส่วนต้องปรับตัวจากสังคมออฟไลน์เข้าไปสู่สังคมออนไลน์มากขึ้น และได้ใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีดิจิทัลเหล่านี้จริง ๆ จัง ๆ เสียที ไม่ว่าจะเป็น การเรียนการสอนออนไลน์ การประชุมออนไลน์ การสั่งซื้อของออนไลน์ การหาความบันเทิงออนไลน์อย่างการดูภาพยนตร์ Streaming เป็นต้น


การปรับตัวเพื่ออยู่รอดยุคหลัง COVID-19

 มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเจอวิฤตแบบดิ่งลงเหว หนักเสียยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งไหน ๆ ที่เคยเจอมาไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้ง หรือวิกฤตซับไพร์มในสหรัฐฯ เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก ไม่ว่าประเทศไหนต่างตกอยู่ในสภาวะคนป่วยทั้งสิ้น แต่จะหนักเบาขึ้นอยู่กับการรับมือและการบริหารจัดการของแต่ประเทศ

แล้วประชาชนคนธรรมดาอย่างเราถ้าหากอยากอยู่รอด ต่อลมหายใจให้ชีวิตเดินหน้าต่อคงต้องปรับตัวขนานใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในแง่การใช้ชีวิตที่ต้องคำนึงถึงการใช้จ่ายกับสิ่งของที่จำเป็นมากขึ้น ควรหัดวางแผนการออม หรือนำเงินไปลงทุนในกองทุนต่าง ๆ เพื่อสร้าง passive income เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ารายได้หลักจะขาดหายไปตอนไหน ลองฝึกฝนเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อเป็นแต้มต่อในการประกอบอาชีพในอนาคตที่จะใช้ระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้มข้นยิ่งขึ้น หรือใครที่เป็นเจ้าของธุรกิจก็ควรมองหาวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ใช้แรงงานน้อยลง ใช้ระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) รวมถึงสำรวจหาช่องทางการขายออนไลน์ใหม่ ๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากกว่าเดิม เป็นต้น