สงสัยไหมว่าทำไมเทศกาลช้อปปิ้งครั้งใหญ่ถึงต้องเป็น 11.11 และ Black Friday เรามาลองค้นหาเหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้กันดีกว่า...
จุดเริ่มต้นที่ทำให้วันที่ 11 พฤศจิกายนกลายเป็นวันคนโสด มาจากนักศึกษามหา’ลัยในประเทศจีนที่ตีความหมายของวัน 11.11 เป็นเลข 1 ที่สื่อถึงความโดดเดี่ยว เหมือนคนโสดที่ยังไม่มีคู่ ทำให้เกิดกิจกรรมฉลองวันคนโสดที่ต่อมาได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่วัยรุ่นประเทศจีน
ด้วยความโด่งดังในโลกออนไลน์ วันหนึ่งแพลตฟอร์ม E-commerce เจ้าดังในจีนจึงได้นำไอเดียวันคนโสดมาจัดเป็นแคมเปญลดราคาสินค้าเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้เหล่าคนโสดได้ซื้อของขวัญให้ตัวเอง ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่ขายดีแบบเทน้ำเทท่า จึงทำให้มีการจัดแคมเปญวันคนโสดในปีต่อ ๆ มา กลายเป็นไวรัลที่โด่งดังไปทั่วในประเทศแถบเอเชียว่าวันที่ 11.11 เป็นวันช้อปสินค้าลดราคา
นอกจาก 11.11 ของฝั่งเอเชียที่กลายเป็นวันลดราคาสินค้าระดับชาติแล้ว ทางฝั่งอเมริกาเองก็มีเทศกาลช้อปปิ้งครั้งใหญ่ที่เรียกกันว่า Black Friday เช่นกัน โดยคำว่า Black นั้นมีที่มาจากการบันทึกยอดขายของร้านค้าที่เปลี่ยนจากสีแดง (ขาดทุน) มาเป็นสีดำ (กำไร) เพียงชั่วข้ามคืน ส่วนคำว่า Friday มีที่มาจากวันศุกร์สิ้นเดือนหรือวันศุกร์ที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันหลังจากวันขอบคุณพระเจ้า ที่ผู้คนที่ศรัทธาในพระเจ้าจะซื้อของขวัญให้กันเป็นธรรมเนียมคล้ายกับการซื้อของขวัญให้กันในวันปีใหม่
ในอีกแง่หนึ่งบางคนอาจจะรู้จักวัน Black Friday ในฐานะวันศุกร์ที่มืดหม่นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเป็นวันที่ร้านค้าปลีกส่วนมากลดราคาสินค้าถึง 50 - 90% ซึ่งถือว่าเยอะกว่าปกติ จึงทำให้ผู้คนพากันแห่ไปซื้อสินค้าลดราคากันแบบไม่คิดชีวิต จึงมักเห็นข่าวตำรวจที่ต้องเข้าไปควบคุมสถานการณ์การซื้อของ เพื่อป้องกันเหตุอันตรายจากการเร่งรีบและแออัดของผู้คนขณะซื้อ
แม้ว่าทั้งสองกิจกรรมจะเป็นการลดราคาในเดือน 11 เหมือนกัน แต่ก็มีจุดเริ่มต้นและที่มาที่ไปต่างกัน ซึ่งถือเป็นการสร้างแคมเปญทางการตลาดที่น่าสนใจ และสร้างผลกระทบได้ในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นวันคนโสดอย่าง 11.11 ในฝั่งเอเชียหรือ Black Friday ในฝั่งอเมริกา นับเป็นการจุดประกายให้คนเกิดความตื่นตัวกับการจับจ่ายโดยมีเหตุผลเบื้องหลังสนับสนุนที่น่าสนใจและเข้าถึงได้ รู้แบบนี้แล้ว ถ้าไม่อยากพลาดสินค้าดี ราคาจับต้องได้ รีบจดลิสต์ของที่อยากได้ แล้วเตรียมกดสั่งรัว ๆ เมื่อถึง 11.11 กันเลย!