แต่ยังเหมาะกับมือใหม่ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการคัดสรรหุ้นด้วยเช่นกัน เพราะกองทุนรวมสามารถตอบโจทย์คนเหล่านี้ได้ เนื่องจากมีการคัดหุ้นตัวเด็ดมารวมไว้ให้แล้ว แถมมีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารให้อีกต่างหาก ถ้าอยากรู้ว่าลงทุนในกองทุนรวมมีข้อดีอะไรบ้าง แล้วมือใหม่อย่างเราควรจัดพอร์ตยังไงดี ตามมาดูกันเลย...
เนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนเข้ามาดูแลกองทุนแทนเราอย่างมืออาชีพ โดยช่วยดูแลในการคัดเลือกหุ้นและกำหนดนโยบายการลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งนโยบายของแต่ละกองจะแตกต่างกันไปแล้วแต่วิสัยทัศน์หรือมุมมองของผู้จัดการกองทุน นอกจากกองทุนในประเทศแล้วนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศได้ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้การลงทุนในกองทุนรวมยังถือเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ พันธบัตร น้ำมัน ทองคำ และสินทรัพย์อื่น ๆ อีกมากมาย แถมการมีผู้เชี่ยวชาญมาดูแลพอร์ตของเราก็ยิ่งทำให้ความเสี่ยงจากการลงทุนนั้นลดลงตามไปด้วย
หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจมีคำถามในใจว่า การลงทุนในกองทุนก็ดูมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงจะต้องจัดพอร์ตอีกรอบด้วยล่ะ
คำตอบก็คือ เพราะว่าในแต่ละกองทุนก็ยังกระจายได้ไม่ตอบโจทย์ความต้องการการลงทุนของแต่ละคนอยู่ดี จึงขอแนะนำให้เลือกจัดพอร์ตเป็น 3 ระยะ ได้แก่ เป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
กองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายระยะสั้นคือไม่เกิน 1 ปี เป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องสูงหรือเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว ตัวอย่างกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายระยะสั้น เช่น กองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) ที่มีทั้งกองทุนรวมตลาดเงินภาครัฐและภาคเอกชน โดยที่อัตราผลตอบแทนของกองทุนประเภทนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1-2 %
กองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายระยะกลางจะใช้เวลา 3-7 ปี เหมาะกับการแพลนไว้ซื้อของที่อยากได้ แต่มีมูลค่าสูง ตัวอย่างกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายระยะกลาง ได้แก่ กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว และกองทุนรวมส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) เรียกได้ว่าเป็นตัวช่วยลดอัตราความผันผวนของตลาดได้ดีเลยทีเดียว เนื่องจากนักลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่จะเก็งกำไรระยะสั้น ทำให้เกิดความผันผวนมาก หากมีเงินออมอยู่ในกองทุน SSF ที่เป็นการลงทุนระยะยาวมาอุดปัญหาตรงนี้ก็จะช่วยให้ตลาดมีเสถียรภาพได้
เป้าหมายนี้เหมาะกับการมองการณ์ไกล มองไปถึงชีวิตหลังเกษียณได้เลย เพราะวันหนึ่งเมื่อเราไม่ได้ทำงานแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีเงินเก็บที่เอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่อไปได้เหมือนตอนทำงานอยู่ ซึ่งกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายระยะยาวหลังเกษียณที่สุดคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund) หรือ RMF โดยเงื่อนไขของกองทุนประเภทนี้คือถ้าซื้อแล้วก็ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี และจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อมีอายุมากกว่า 55 ปี บวกกับลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี แถมยังช่วยลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมว่าการลงทุนไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่ามีเป้าหมายอะไร แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคิดถึงก่อนลงทุนทุกครั้งคือ การประเมินความเสี่ยงที่รับได้ และเลือกระยะเวลาการลงทุนให้เหมาะสม รวมถึงคิดว่าเรามีความสุขกับธีมการลงทุนแบบไหนก็ให้จัดพอร์ตกองทุนของตัวเองแบบนั้นได้เลย เพียงเท่านี้คุณก็จะเป็นมือใหม่ที่ลงทุนกองทุนรวมได้อย่างเก๋าเกมมากขึ้นแน่นอน