จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมตลาดสกุลเงินดิจิทัลถึงได้ดูน่าลงทุนนัก แล้วมือใหม่อย่างเราถ้าอยากเริ่มต้นเข้าสู่โลกการลงทุนใน Cryptocurrency กับเขาบ้างควรเริ่มจากตรงไหน หรือจะถือเหรียญไหนดี ลองตามมาดูกันเลย...

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนลงทุนใน Cryptocurrency

ขึ้นชื่อว่า “Cryptocurrency” คงรู้จักกันดีอยู่แล้วว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงในโลกดิจิทัล ราคามีการปรับขึ้นลงแปรผันไปตามความต้องการของตลาด บางเหรียญก็ไม่มีพื้นฐาน แต่บางเหรียญก็มี project support อยู่เบื้องหลังและด้วยเหตุที่เป็นการลงทุนบนโลกดิจิทัล ทำให้ข้อมูลข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นข่าวจริงหรือเท็จเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลได้มากกว่าการลงทุนแบบอื่น ๆ ตัวอย่างเช่นแค่เพียงอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ทวีตอะไรบางอย่างบน Twitter ก็เขย่าวงการตลาดคริปโตให้ปั่นป่วน สั่นสะเทือนกันได้ถ้วนหน้าแล้ว

มือใหม่หัดลงทุนคริปโต แนะนำเริ่มจาก Stablecoin

หลายคนที่พึ่งเริ่มสนใจอยากเข้ามาลงทุนในตลาดนี้ แต่ยังแอบไม่มั่นใจเพราะมองว่าเป็นสิ่งที่ยากเกินความเข้าใจ ประกอบกับไม่มีเวลาศึกษาหาข้อมูล และคงรับความเสี่ยงจากการผันผวนไม่ไหว เราขอแนะนำให้เริ่มต้นจากเหรียญที่มีความผันผวนต่ำก่อน หรือที่เรียกว่า “Stablecoin” ตัวอย่างเหรียญประเภทนี้เช่น

• USDC: สกุลเงินดิจิทัลแบบ Stablecoin ที่อยู่บน Ethereum blockchain ใช้อ้างอิงมูลค่าของโทเคนกับดอลลาร์สหรัฐในอัตราส่วน 1:1 โดยทุก ๆ USDC ที่ถูกผลิตออกมา จะมี 1 ดอลลาร์ที่ถูกเก็บเอาไว้ในบัญชี ซึ่งมีการตรวจสอบเป็นประจำว่ามีการเก็บเงินสำรองไว้จริง ๆ
• USDT: สกุลเงินดิจิทัลที่จะถูกผลิตออกมาเมื่อมีความต้องการ ซึ่งทาง Tether เจ้าของโทเคนจะผลิตเหรียญเพิ่ม โดย USDT เป็นเหรียญที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการออมมากกว่าการเก็งกำไร เพราะนอกจากจะมีความผันผวนต่ำแล้ว ยังอาจให้ผลตอบแทนที่มากกว่าการนำเงินไปฝากธนาคารได้ แถม ถือครองได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง จึงเป็น Cryptocurrency ที่นิยมถือไว้เพื่อพักเงิน ในช่วงที่ตลาดกำลังปรับฐานหรืออยู่ในช่วงขาลง รวมถึงมีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ เพราะมีบันทึกไว้ในระบบ Blockchain

รู้จักประเภทของ Stablecoin ที่อ้างอิงตามสินทรัพย์ต่าง ๆ

Stablecoin สามารถแบ่งได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน ได้แก่

• Fiat – collateralized (รองรับด้วยสกุลเงินจริง) แนวคิดคือ ผูกเหรียญคริปโตเข้ากับสกุลเงินจริงที่ใช้ในโลกอนาล็อก
• Commodity – collateralized (รองรับด้วยสินค้าโภคภัณฑ์) โดยสินทรัพย์ที่ใช้ในการรองรับนั้นสามารถเป็นอะไรก็ได้ เช่น ทองคำ น้ำมัน ที่ดิน หรือสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ
• Crypto – collateralized (รองรับด้วยสกุลเงินดิจิทัล) ซึ่งเป็นการค้ำประกันด้วยเหรียญสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้งานอยู่บนระบบ Decentralized อีกที
• Non – collateralized (ไม่รองรับด้วยอะไรเลย) มีการควบคุมมูลค่าของเงินโดยใช้วิธีการปรับลดดอกเบี้ย หรืออุปทานของเงินแทน

ตลาด Cryptocurrency จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากเก็บออมเงิน เพราะหากเลือกลงทุนใน Stablecoin ก็ยังมั่นใจได้ว่าค่าเงินจะไม่ผันผวนแบบสุดโต่งเหมือนเหรียญคริปโตอื่น ๆ และอาจให้ผลตอบแทนได้เกินเป้าหมายจากที่คิดไว้ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง เราจึงควรหมั่นติดตามข่าวสารและเช็คสภาวะตลาดอยู่เรื่อย ๆ ดีที่สุด